Who i am

I Am Wazabi

You Know Me A Little Go

ชื่อ กาญจนา แววเนรมิต
Name : Kanjana Wawnaramit

ชื่อเล่น กาน
Nickname : Kan

อายุ 23 ปี
Age : 23 years old

วันเกิด วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2532
Birthday : Friday, August 4th, 1989

ราศี กรกฎ (ปู)
Zodiac : CANCER

สถานที่เกิด โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง
Birthday’s Place : Rayong Hospital , Rayong


การศึกษา โรงเรียนระยองพาณิชยการ จ.ระยอง และ กำลังจะศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
Education’s Background: Rayongpanich School, Chanthabury Province and is going to study in Bachelor Degree in University

นิสัยส่วนตัว ทะเล้น ขี้เล่น เข้ากับคนง่าย
Characteristic : Factious, Amusing (Playful) and Friendly

กรุ๊ปเลือด O
Blood’s Group : O

ส่วนที่ชอบที่สุดในร่างกาย คิ้ว
LIke in his Body : Brows

อาหารสุดโปรด สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า, ตำซั่วปูปลาร้า, ซูชิ, ปลาดิบ
Favorable Food : Spaghetti Carbonara, Papaya Salad (Pickled Fish) and Sushi



วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 3 การจัดการข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์



1. ขั้นตอนการประมวลผลข้อมูลด้วยเครื่องอิเล็กทรอนิคส์แบ่งได้กี่วิธีอะไรบ้าง

ตอบ


การประมวลผลข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นเตรียมข้อมูล (input) เป็นการจัดเตรียมข้อมูลที่รวบรวมมาแล้วให้อยู่ในลักษณะที่สะดวกต่อการประมวลผลแบ่งเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ดังนี้
ก. การลงรหัส(Coding) คือ การใช้รหัสแทนข้อมูลจริง ทำให้ข้อมูลอยู่ในรูปแบบที่สะดวกแก่การ ประมวลผล ทำให้ประหยัดเวลาและเนื้อที่ รหัสอาจเป็นตัวเลขหรือตัวอักษรก็ได้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับ เพศให้รหัส 1 แทนเพศชาย รหัส 2 แทนเพศหญิง เป็นต้น
ข. การตรวจสอบแก้ไขข้อมูล (Editing) เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นไปได้ของข้อมูล และปรับปรุงแก้ไขเท่าที่จะทำได้หรือคัดข้อมูลที่ไม่ต้องการออกไป เช่น คำตอบบางคำตอบขัดแย้งกันก็อาจดูคำตอบจากคำถามข้ออื่น ๆ ประกอบแล้วแก้ไขตามความเหมาะสม
ค. การแยกประเภทข้อมูล (Classifying) คือการแยกประเภทข้อมูลออกตามลักษณะงานเพื่อสะดวกในการประมวลผลต่อไป เช่น แยกตามคณะวิชา แยกตามเพศ แยกตามอายุ เป็นต้น
ง. การบันทึกข้อมูลลงสื่อ (Media) ที่เหมาะสม หมายถึง การจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในสื่อ หรืออุปกรณ์ที่อยู่ในรูปที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจ และนำไปประมวลได้ เช่น บันทึกข้อมูลลงในจานแม่เหล็ก หรือเทปแม่เหล็ก เพื่อนำไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อไป

2. ขั้นตอนการประมวลผล (Processing) เป็นวิธีการจัดการกับข้อมูลโดยนำข้อมูลที่เตรียมไว้แล้วเข้าเครื่อง แต่ก่อนที่เครื่องจะทำงานต้องมีโปรแกรมสั่งงาน ซึ่งโปรแกรมเมอร์ (Processing) เป็นผู้เขียนเครื่องคอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลจนกระทั่งได้ผลลัพธ์ออกมาและยังคงเก็บไว้ในเครื่องขั้นตอนต่าง ๆ อาจเป็นดังนี้
ก. การคำนวณ (Calculation) ได้แก่ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น การบวก ลบ คูณ หาร และทางตรรกศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบค่าต่าง ๆ
ข. การเรียงลำดับข้อมูล(Sorting) เช่น เรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อยหรือเรียงตามตัวอักษร A ถึง Z เป็น ต้น
ค. การดึงข้อมูลมาใช้(Retrieving) เป็นการค้นหาข้อมูลที่ต้องการเพื่อนำมาใช้งาน เช่น ต้องการทราบยอดหนี้ของลูกค้าคนหนึ่ง หรือต้องการทราบยอดขายของพนักงานคนหนึ่ง เป็นต้น
ง. การรวมข้อมูล (Merging) เป็นการนำข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุด ขึ้นไปมารวมเป็นชุดเดียวกัน เช่น การนำเอาเงินเดือน พนักงาน รวมกับเงินค่าล่วงเวลา จะได้เป็นเงินที่ต้องจ่ายให้แก่พนักงาน
จ. การสรุป (Summarizing) เป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบสั้น ๆ กะทัดรัดตามต้องการ เช่น การ สรุปรายรับรายจ่าย หรือ กำไรขาดทุน
ฉ. การสร้างข้อมูลชุดใหม่ (Reproducing) เป็นการสร้างข้อมูลชุดใหม่ขึ้นมาจากข้อมูลเดิม
ช. การปรับปรุงข้อมูล (Updating) คือ การเพิ่มข้อมูล (Add) การลบข้อมูล (Delete) และการเปลี่ยนค่า (change) ข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ

3. ขั้นตอนการแสดงผลลัพธ์ (Output) เป็นงานที่ได้หลังจากผ่านการประมวลผลแล้วเป็นขั้นตอนในการแปลผลลัพธ์ที่เก็บอยู่ในเครื่องให้ออกมาอยู่ในรูปที่สามารถเข้าใจง่ายได้แก่ การนำเสนอในรูปแบบรายงาน เช่น แสดงผลสรุปตารางรายงานการบัญชี รายงานทางสถิติ รายงานการวิเคราะห์ต่าง ๆ หรืออาจแสดงด้วยกราฟ เช่น แผนภูมิ หรือรูปภาพสรุปขั้นตอนการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์


2. จงเรียงลำดับโครงสร้างข้อมูลจากขนาดเล็กไปใหญ่ พร้อมอธิบายความหมายของโครงสร้างข้อมูลแต่ละแบบ
อบ 

1. บิต(Bit) หน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูล เลขฐาน 2 คือ 0,1

2. ไบต์(Byte) การนำบิตมารวมกัน เรียกว่า ตัวอักขระ,ตัวอักษร เป็นการนำบิตหลาย ๆ บิตมาเรียงต่อรวมกันเพื่อ กำหนดค่าได้มากขึ้น เช่น 3 บิต มาต่อเรียงกันจะทำให้เกิดสถานะที่ต่างกันคือ 000,001,010,100,011,010, และ 111 ก็จะได้เป็น 8 สถานะ เมื่อนำบิตมาเรียงต่อรวมกันเป็น 8 บิต เรียกว่าไบต์ มี 256 สถานะ และกำหนดเป็นโครงสร้าง ข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุดที่ใช้งานได้ มีค่าตั้งแต่ 0 – 255 (00000000 – 11111111)

3. ฟิลด์ (Field) การนำไบต์หลาย ๆ ไบต์ มารวมกัน เรียกว่าเขตข้อมูล

4. เรคอร์ด (Record) การนำฟิลด์หลาย ๆ ฟิลด์ มารวมกัน เรียกว่า ระเบียน

5. ไฟล์ (File) การนำเรคอร์ดหลาย ๆ เรคอร์ด มารวมกัน เรียกว่า แฟ้มข้อมูล

6. ฐานข้อมูล (Database) การนำไฟล์หลาย ๆ ไฟล์ มารวมกัน เรียกว่า ฐานข้อมูล



3. หากนำเอาระบบฐานข้อมูลมาใช้ในหน่วยงานที่นักศึกษาทำงานอยู่ สามารถมีระบบใดบ้าง และระบบฐานข้อมูลนั้นมีประโยชน์ต่อองค์กรอย่างไร

ตอบ


ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RELATIONAL DATABASE) เป็นการเก็บข้อมูลในรูปแบบที่เป็นตาราง (Table) หรือเรียกว่า รีเลชั่น (RELATION) สามารถเก็บข้อมูลพนักงานได้อย่างเป็นหมวดหมู่ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล ,สามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน ,หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล,รักษาความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล

ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (HIERARCHICAL DATABASE) ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เป็นโครงสร้างที่จัดเก็บข้อมูลในลักษณะความสัมพันธ์แบบ พ่อ – ลูก หรือเป็นโครงสร้างรูปแบบต้นไม้ TREE ข้อมูลที่จัดเก็บในที่นี้ คือ ระเบียน Record ซึ่งประกอบด้วยค่าของเขตข้อมูล Field ของเอนทิตี้หนึ่ง ๆ นั่นเองสามารถทำ Organization ได้ , กำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้, กำหนดระบบรักษาความปลอดภัย , เกิดความอิสระของข้อมูล



4. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการประมวลผลข้อมูลแบบแบทซ์และแบบเรียลไทม์

ตอบ


1.การประมวลผลแบบแบทซ์ (Batch Processing) การประมวลผลแบบแบทซ์นั้นเมื่อข้อมูลมาถึงคอมพิวเตอร์แล้วจะถูกรวบรวมหรือเก็บไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงนำมาประมวลผล จะอาศัยระยะเวลาในการเก็บนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ หรืออาจจะเป็นเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาที่ได้กำหนดไว้ก็ได้

2.การประมวลผลแบบเวลาจริงหรือแบบเรียลไทม์ เป็นการประมวลผลที่คอมพิวเตอร์จะทำการประมวลผลในทันทีที่มีข้อมูลเข้ามาถึงคอมพิวเตอร์ และส่งผลลัพธ์จากการประมวลผลไปให้ผู้ใช้ในทันที ซึ่งการประมวลผลแบบนี้จะทำให้ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลเป็นปัจจุบันเสมอ การประมวลผลแบบเวลาจริงนี้ระบบนำข้อมูลเข้า ระบบแสดงผลของคอมพิวเตอร์จะเชื่อมโยงกันตลอดเวลา หากอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ห่างไกลกันก็จะต้องมีเครือข่ายการสื่อสารเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ ทำให้ข้อมูลที่เกิดขึ้นถูกส่งเข้ามายังคอมพิวเตอร์ทันที การะประมวลผลแบบนี้

บทที่ 2 องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

1. จงอธิบายความหมาย พร้อมยกตัวอย่างของคำดังต่อไปนี้

1. Hardware

2. Software

3. People

4. Data/Information


ตอบ

1. Hardware คือ ลักษณะทางกายภาพของคอมพิวเตอร์ คืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ แบ่งเป็น 5 ส่วน คือ

1.1 Input Unit หน่วยรับข้อมูล เช่น แป้นพิมพ์, เมาส์, ปากกาแสง, ไมโครโฟน, เครื่องสแกนเนอร์, เครื่องอ่านรหัสแท่ง ฯลฯ

1.2 CPU : Central Processing Unit ทำหน้าที่ประมวลผลหลังจากที่ได้รับข้อมูลแล้ว แบ่งเป็น 3 ส่วนหลักคือ

- หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic Logic Unit : ALU) มีหน้าที่ในการคำนวณและเปรียบเทียบตรรกะในการคำนวณ

- หน่วยควบคุม (Control Unit : CU) มีหน้าที่ควบคุมการรับ - ส่ง คำสั่งและข้อมูลเพื่อประสานงานกับหน่วยต่าง ๆ

- หน่วยความจำหลัก (Main Memory) มีหน้าที่จัดเตรียมที่พักในการเก็บข้อมูลแบบชั่วคราว มี 2 ชนิด คือ ROM : Read Only Memory

หน่วยความจำหลักที่ไม่ลบเลือน (ไฟดับข้อมูลไม่หาย)

RAM : Random Access Memory

หน่วยความจำหลักแบบลบเลือน (ไฟดับ ข้อมูลหาย)

1.3 Output Unit หน่วยแสดงผล เช่น จอภาพ, อุปกรณ์ฉายแสง, ลำโพง, เครื่องพิมพ์

1.4 Secondary Storage หน่วยเก็บสำรองข้อมูล มี 2 แบบ คือ

- หน่วยความจำสำรองที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง (Direct Access Storage Devices) สามารถเข้าไปกระทำกับข้อมูลที่เก็บในอุปกรณ์ชนิดนั้นโดยตรง ได้แก่ จานแม่เหล็ก (Harddisk, Floppy disk), จานแสง (CD-ROM, DVD, WORM Disk, Rewriteable Optical Disk) , Flash Memory

- หน่วยความจำสำรองที่สามารถเข้าถึงข้อมูลแบบเรียงลำดับ (Sequential Access Storage Devices) เก็บข้อมูลแบบเรียงลำดับกันไปตั้งแต่แรกจนถึงตำแหน่งสุดท้าย ได้แก่ เทปแม่เหล็ก และ เทปรีล

2. Software หมายถึง ชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

2.1 System Software ซอฟต์แวรระบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

2..1.1 Operating System: OS ซอฟต์แวรระบบปฏิบัติการทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่ UNIX, LINUK, MS-DOS, WINDOWS

2.1.2 Utilities Program โปรแกรมอรรถประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งาน เช่น Disk Defragmenter, Disk Cleanup ,Backup

2.1.3 โปรแกรมแปลภาษา มี 3 ชนิด

- Assembler แปลภาษาแอสแซมบลีซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง

- Compiler แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลทั้งโปรแกรม

- Interpreter แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลทีละคำสั่ง

2.2 Application Software โปรแกรมประยุกต์หรือโปรแกรมสำเร็จรูป เช่น SPSS, Photoshop, Microsoft Office, PowerDVD, MSN ฯลฯ

3. People บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ผู้บริหารงานคอมพิวเตอร์, นักออกแบบระบบ, นักวิเคราะห์ระบบ, นักเขียนโปรแกรม, นักบำรุงรักษาโปรแกรม, พนักงานคีย์ข้อมูล ฯลฯ

4. Data/Information ข้อมูลและสารสนเทศ เช่น ภาพ เสียง วีดีโอ



2. หากนักศึกษาเป็นเจ้าของธุรกิจ ดังต่อไปนี้ (เลือก 1 ธุรกิจ) จะนำองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ ได้แก่ Hardware ,Software และ Peopleware ใดมาใช้ในธุรกิจบ้าง เพราะเหตุใดจงอธิบาย

- ร้านอาหาร

- ร้านขายของสะดวกซื้อ

- โรงเรียนกวดวิชา

- หอพัก หรือ โรงแรม


ตอบ 
          เลือกกธุรกิจโรงแรม และจะนำองค์ประกอบของพิวเตอร์ทั้ง 3 อย่างคือได้แก่ Hardware,Software และ People wareมาใช้ในธุรกิจเพื่อความสะดวก และเอื้ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ ดังรายละเอียดดังนี้

(Hardware)ฮาร์ดแวร์ก็จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการประมวลผลข้อมูลการรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่จับต้อง สัมผัสและสามารถมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมมีทั้งที่ติดตั้งภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ (Case) และเชื่อมต่อภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องมี Softwareทั้ง 2 ประเภทเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดย Software ระบบทำหน้าที่ควบคุมส่วนของ Hardware ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ ส่วนของ Software ประยุกต์นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ตามที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ จากนั้นเราก็จะต้องมีPeoplewareมาควบคุมดูแลระบบให้เป็นไปตามความต้องการ






3. ให้นักศึกษา แสดงข้อมูล จำนวน 1ชุด พร้อมทั้งแสดงในรูปแบบของระบบสารสนเทศ
ตอบ

เลือกกธุรกิจโรงแรม และจะนำองค์ประกอบของพิวเตอร์ทั้ง 3 อย่างคือได้แก่ Hardware,Software และ Peoplewareมาใช้ในธุรกิจเพื่อความสะดวก และเอื้ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว และแม่นยำ ดังรายละเอียดดังนี้

(Hardware)ฮาร์ดแวร์ก็จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการประมวลผลข้อมูลการรับข้อมูล การแสดงผลข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่จับต้อง สัมผัสและสามารถมองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมมีทั้งที่ติดตั้งภายในตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ (Case) และเชื่อมต่อภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องมี Softwareทั้ง 2 ประเภทเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดย Software ระบบทำหน้าที่ควบคุมส่วนของ Hardware ให้ทำงานอย่างอัตโนมัติ ส่วนของ Software ประยุกต์นั้นจะทำหน้าที่ควบคุมให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ตามที่ผู้ใช้ต้องการเพื่อประยุกต์ใช้ในงานด้านต่างๆ จากนั้นเราก็จะต้องมีPeoplewareมาควบคุมดูแลระบบให้เป็นไปตามความต้องการ




                                     
                                                                 ตัวอย่างข้อมูล




                                              
                                                                ตัวอย่างสาระสนเทศ

บทที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศ



1. จงอธิบายความหมายของคาดังต่อไปนี้ พร้อมยกตัวอย่างเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน

ตอบ

1.1 เทคโนโลยี          เทคโนโลยีหมายถึง ความรู้วิชาการรวมกับความรู้วิธีการ และความชำนาญที่สามารถนำไปปฏิบัติภารกิจให้มีประสิทธิภาพสูง โดยปกติเทคโนโลยีนั้นมีความรู้วิทยาศาสตร์รวมอยู่ด้วย นั้นคือวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ เทคโนโลยีเป็นการนำความรู้ไปใช้ในทางปฏิบัติ จึงมักนิยมใช้สองคำด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเน้นให้เข้าใจว่า ทั้งสองอย่างนี้ต้องควบคู่กันไปจึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด

ตัวอย่างเช่น
          มนุษย์การนำทรายซึ่งเป็นสารประกอบของซิลิกอนที่มีราคาต่ำมาผลิตเป็นทรานซิสเตอร์และไอซี ซึ่งไอซีนี้เป็นอุปกรณ์ที่รวมวงจรอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากไว้ด้วยกัน ใช้ทำชิพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของคอมพิวเตอร์ ทำให้มีราคาสูงเทคโนโลยีจึงเป็นหนทางที่จะช่วยพัฒนาให้สินค้าและบริการต่าง ๆมีมูลค่าเพิ่มขึ้น

1.2 สารสนเทศ
          สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ตัวอย่างเช่น
          การฝาก ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM
   
1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศ
          หมายถึงเทคโนโลยีสำหรับการประมวลผลสารสนเทศ ซึ่งครอบคลุมถึงการรับ-ส่ง การแปลง การจัดเก็บ การประมวลผล และการค้นคืนสารสนเทศ ในการประยุกต์ การบริการ และพื้นฐานทางเทคโนโลยี สามารถแบ่งกลุ่มย่อยเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ คอมพิวเตอร์, การสื่อสาร และข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซึ่งในแต่ละกลุ่มนี้ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีกมากมาย องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ ยังต้องอาศัยการทำงานร่วมกัน

ตัวอย่าง
          นักเรียนอาจอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิโดยอัตโนมัติ
1.4 ข้อมูล
          ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของสถานที่ ฯลฯ โดยอยู่ในรูปแบบที่ เหมาะสมต่อการสื่อสาร การแปลความหมายและการประมวลผล ซึ่งข้อมูลอาจจะได้มาจากการสังเกต การรวบรวม การวัด ข้อมูลเป็นได้ทั้งข้อมูลตัวเลขหรือสัญญลักษณ์ใด ๆ ที่สำคัญจะต้องมีความเป็นจริงและต่อเนื่องตัวอย่างของข้อมูล

ตัวอย่าง
          คะแนนสอบ ชือนักเรียน เพศ อายุ เป็นต้น

ฐานความรู้
          สารสนเทศที่ได้จัดเป็นโครงสร้างความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและต้องมีคุณค่าเพื่อแก้ไขปัญหาในการดำเนินงานต่างๆได้




2. โครงสร้างสารสนเทศมีอะไรบ้าง จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง

ตอบ

          1.ระดับล่างสุด เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ทำงานประมวลผลข้อมูล ซึ่งเรียกว่า ระบบการประมวลผลรายการ เป็นการประมวลข้อมูลที่เป็นการดำเนินงานประจำวันภายในองค์การ เช่น การทำบัญชี การจองตั๋ว เป็นต้น
         
          2.ระดับที่สอง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศ เพื่อใช้ในการวางแผนตัดสินใจและการควบคุมที่เกี่ยวเนื่องกับงานประจำวัน ซึ่งเรียกว่า งานควบคุมการดำเนินงาน เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวกับการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมและการควบคุมคุณภาพสินค้า ที่ได้จากกระบวนการผลิต
          
          3.ระดับที่สาม เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับกลางใช้ในการจัดการและวางแผนระยะสั้น ซึ่งเรียกว่า งานควบคุมการจัดการ เช่น สารสนเทศที่เป็นรายงานสรุปยอดรวมของการขายสินค้าในแต่ละภาค เป็นต้น
         
          4.ระดับที่สี่ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์จัดทำสารสนเทศสำหรับผู้บริหารจัดการระดับสูง สำหรับใช้ในงานวางแผนระยะยาว ซึ่งเรียกว่า การวางแผนกลยุทธ์ เช่น สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า สภาวะการตลาด ความสามารถของคู่แข่งขัน เป็นต้น



3. วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศมีอะไรบ้าง จงอธิบาย

ตอบ
 วิวัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย

          1.ยุคการประมวลผลข้อมูล เป็นยุคแรกๆของการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ วัตถุประสงค์ช่วงนั้น เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลประจำวัน เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เช่น การทำบัญชี การเก็บรักษาบันทึกต่างๆ

          2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ เป็นยุคที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการติดตามผลและวิเคราะห์งานของผู้บริหาร เช่น รายงานยอดขาย รายงานรายได้รายจ่ายขององค์กรหรือธุรกิจ เป็นต้น

          3.ระบบจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เป็นการเรียกใช้สารสนเทศ เพื่อที่จะช่วยในการตัดสินใจในการนำองค์กรหรือหน่วยงานไปสู่เป้าหมายอันเป็นความสำเร็จ

          4.ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ